ก่อนจะเข้าเนื้อหาขอเกริ่นก่อนว่า Influencer ต่างกับ KOL อย่างไร ?
อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คือ บุคคลที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, TikTok หรือ YouTube มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นพฤติกรรม และการตัดสินใจซื้อของผู้ติดตาม
Influencer มักจะมีอิทธิพลอย่างมากในโลกออนไลน์ และมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากโดยส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ เช่น อินฟลูเอนเซอร์ ในหมวดการท่องเที่ยว ก็จะนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไปเที่ยวต่างประเทศแนะนำสถานที่ใหม่ ๆ ที่ผู้ติดตามอาจจะยังไม่เคยไปและยังสามารถชักจูงผู้ติดตามให้เดินทางตามรอยอินฟลูเอนเซอร์คนนั้นได้
KOL คือ ผู้นำทางความคิด โดยมักเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาหรืออุตสาหกรรมเฉพาะและมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดเห็นและพฤติกรรมของผู้อื่น KOL มักจะถูกค้นหาโดยแบรนด์เพื่อรับรองหรือส่งเสริมผลิตภัณฑ์บริการ และแนวคิดของพวกเขา
ไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ : KOL คืออะไร
การทำการตลาดโปรโมทสินค้าบริการด้วยอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) นั้นมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะ แพลตฟอร์ม Facebook, Instagram, YouTube, Twitter, TikTok ล้วนมีวิธีการทำการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์แตกต่างกัน
จากข้อมูลของ Influencer Marketing Hub พบว่าปี 2023 นักการตลาดยังคงเชื่อว่ากลยุทธ์การทำ Influencer Marketing เป็นรูปแบบการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง และมีเเนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเติบโตขึ้นจากปี 2022 ถึง 29 % เป็นมูลค่าประมาณ 21.1 ดอลลาร์ในปี 2023
ถึงแม้ในปัจจุบันเราจะเห็นตัวอย่างการใช้อินฟลูเอนเซอร์เพื่อมาช่วยส่งเสริมการทำการตลาดให้กับแบรนด์ แต่การเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ ให้ตอบโจทย์กับธุรกิจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแบรนด์ต้องลงทุนงบประมาณในการจ้างงาน การทำสื่อ การซื้อโฆษณาไปจำนวนมากก็ต้องอยากได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากลับมาให้มากที่สุด
บทความในวันนี้เลยจะช่วยแนะนำเทคนิคไม่ลับที่จะช่วยให้เจ้าของแบรนด์หรือนักการตลาดสามารถเลือกอินฟลูเอนเซอร์ตรงตามที่ต้องการได้ โดยมีเนื้อหาที่ครอบคลุมตามหัวข้อดังนี้ค่ะ
เนื้อหาบทความ
- ประโยชน์ของการใช้อินฟลูเอนเซอร์
- ประเภทของอินฟลูเอนเซอร์
- เทคนิคการเลือกอินฟลูเอนเซอร์
- แนะนำเครื่องมือใช้หา Influencer ที่มีคุณภาพ
ประโยชน์ของการใช้อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer)
1. เพิ่มการรับรู้ให้แบรนด์
เนื่องจากอินฟลูเอนเซอร์เป็นคนที่มีผู้ติดตามจำนวนหนึ่งบนโซเชียลมีเดีย การโปรโมทสินค้าบริการผ่านอินฟลูเอนเซอร์ จึงสามารถทำให้กลุ่มเป้าหมายที่กำลังติดตามเหล่านั้นสามารถรับรู้ และรู้จักกับแบรนด์ได้เลยในทันที
ซึ่งการสร้างการรับรู้ก็ไม่เพียงเฉพาะกับคนที่ติดตามเท่านั้น แต่ยังเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายได้ค้นพบแบรนด์มากขึ้นจากการมีตัวตนบนพื้นที่สื่อโซเชียลมีเดียที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะในเพจของแบรนด์เพียงที่เดียว
2. เพิ่มความน่าเชื่อถือ
รู้หรือไม่ว่า “กว่า 61% ของผู้บริโภคไว้ใจคำแนะนำของอินฟลูเอนเซอร์”
อินฟลูเอนเซอร์มีความสามารถในการชักจูงคนให้เชื่อในสิ่งที่พูด สิ่งที่นำเสนอ หรือแสดงความคิดเห็นออกมา
สิ่งนี้จึงเป็นสาเหตุให้แบรนด์สามารถสร้างความน่าเชื่อถือผ่านคำพูดของผู้ที่คนให้ความเชื่อมั่น และติดตามบนโซเชียลมีเดีย
เมื่อเราเปรียบเทียบกับแบรนด์ที่ไม่มีอินฟลูเอนเซอร์ พูดถึง เราก็จะมีคำถามในหัวว่าแบรนด์นี้น่าเชื่อถือได้จริงไหม สินค้าบริการนั้นใช้ดีจริงหรือเปล่า
3. ส่งเสริมการทำคอนเทนต์ให้แบรนด์
จากที่ในหนึ่งอาทิตย์แบรนด์วางแผนว่าต้องทำคอนเทนต์ออกมา 3 ชิ้น
การมีอินฟลูเอนเซอร์เข้ามาจะช่วยลดการทำคอนเทนต์ที่มาเฉพาะจากแบรนด์ลง แถมแบรนด์ยังได้คอนเทนต์ที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น เพราะอินฟลูเอนเซอร์ จะช่วยแชร์ไอเดีย และสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจออกมาดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย
4. สร้างยอดขาย
“เกือบ 50% ของผู้บริโภคในทุกวันนี้รับฟังคำแนะนำของ "อินฟลูเอนเซอร์"
กว่า 40% ของคนบอกว่าพวกเขาซื้อหลังจากเห็นการโปรโมทหรือโฆษณาบน Instagram, YouTube หรือ X (Twitter)
และคนกว่า 82% ก็มักจะใช้โซเชียลเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจซื้อสินค้าบริการเป็นปกติอยู่แล้ว”
แสดงว่าในปัจจุบัน ผู้บริโภคหันไปค้นหา และรับฟังการรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์ มากขึ้นเรื่อย เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่พวกเขาสนใจอยากซื้อ
แต่ในขณะเดียวกันการตัดสินใจซื้อก็มาจากความน่าเชื่อถือ และความจริงใจในการรีวิวของตัวอินฟลูเอนเซอร์ ด้วย เพราะหากเปรียบเทียบแล้ว คนจะเชื่อคำพูดของผู้บริโภคด้วยกันที่เคยใช้งานจริง เพื่อน ครอบครัวหรือคนรู้จักมากกว่าค่ะ
5. สร้างความสัมพันธ์ที่ดี
เป็นปกติอยู่แล้วที่อินฟลูเอนเซอร์จะพูดคุย แชร์เรื่องราว แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ติดตามเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
แบรนด์ก็สามารถใช้โอกาสตรงนี้ในการให้อินฟลูเอนเซอร์ ช่วยสร้างความรู้สึกที่ดี และความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้ด้วยเช่นกัน อาจจะเป็นการจัดกิจกรรมไลฟ์พูดคุย หรือกิจกรรมร่วมสนุกลุ้นรับของรางวัล เป็นต้น
ประเภทของอินฟลูเอนเซอร์
การแบ่งประเภทของอินฟลูเอนเซอร์นั้นจะแบ่งตามจำนวน Follower ผู้ติดตามของช่องนั้น โดยแบ่งออกตามจำนวนของผู้ติดตาม ดังนี้
Nano influencer
ตัวอย่างช่อง YouTube TaamJai CH
จำนวนผู้ติดตาม: 1 พัน - 1 หมื่น
เหมาะสำหรับ: เข้าถึงผู้บริโภคในแบบใกล้ชิด สามารถเป็นที่จดจำในหมู่เพื่อน ผู้ติดตาม และมีความน่าเชื่อถือต่อบุคคลรอบข้าง
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ: Nano Influencer คืออะไร
Micro influencer
ตัวอย่างช่อง YouTube Dearkiko
จำนวนผู้ติดตาม: 1 หมื่น - 5 หมื่น
เหมาะสำหรับ: เข้าถึงผู้บริโภคได้ใกล้ชิดในจำนวนปานกลาง การทำคอนเทนต์สามารถกระจายไปยังกลุ่มคนจำนวนมากขึ้น
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ: Micro Influencer สามารถช่วยโปรโมทได้อย่างไร
Mid-tier influencer
ตัวอย่างช่อง YouTube Shipdont
จำนวนผู้ติดตาม: 5 หมื่น - 5 แสน
เหมาะสำหรับ: เป็นบุคคลที่เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากการสร้างตัวตน หรือคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ สามารถโปรโมทไปยังคนจำนวนมาก
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ: ทำไม Mid-tier Influencer ถึงสำคัญ
Macro influencer
ตัวอย่างช่อง YouTube Brinkkty
จำนวนผู้ติดตาม: 5 แสน -1 ล้าน
เหมาะสำหรับ: เป็นบุคคลที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเหมาะกับการโปรโมทคนจำนวนสูง สามารถสร้างการรับรู้ไปบนโซเชียลมีเดียได้ชัดเจนมากขึ้น
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ: Macro Influencer คืออะไร แตกต่างกับ Micro Influencer อย่างไร
Mega influencer
ตัวอย่างช่อง YouTube Go Went Go
จำนวนผู้ติดตาม: 1 ล้านขึ้นไป
เหมาะสำหรับ: เป็นคนที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ใช้สำหรับโปรโมทคนจำนวนหลักล้าน และเหมาะกับแบรนด์ใหญ่ที่มีชื่อเสียง
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ : Mega Influencer คืออะไร
เลือกแบบไหนดีระหว่างคนติดตามสูง VS คนติดตามไม่สูงมาก
การเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ ประเภทต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการโปรโมท งบประมาณ กลุ่มเป้าหมาย ลักษณะของสินค้าบริการ และขนาดของแบรนด์ ซึ่งไม่ได้หมายความเราแบรนด์จำเป็นต้องเลือกมาแค่ประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น
ตัวอย่าง เช่น ในเเคมเปญการตลาด TikTok #LetsDancewithLays ของ สินค้า เลย์ ที่นำศิลปิน เป็ก ผลิตโชค มาเป็นผู้จุดประกายความสนุกบนแพลตฟอร์ม TikTok ด้วยท่าเต้นที่น่ารัก ดูสนุกสนาน ที่สำคัญ เลย์ได้ใช้เอฟเฟกเสียงความกรอบของ เลย์ ที่เป็นจุดเด่นมาเป็นลูกเล่นในเเคมเปญนี้อีกด้วย จากการทำการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ทุกประเภทนี้ทำให้เลย์ สามารถสร้างยอดวิวถึง 220.3 M เลยทีเดียว
ในความจริงแล้วแบรนด์ก็สามารถเลือกใช้หลายแบบในสัดส่วนที่ต่างกัน เช่น ใช้ Macro influencer 1 คน, Mid-tier influencer 3 คน และ Macro influencer 6 คน เป็นต้น
อินฟลูเอนเซอร์ที่คนติดตามสูง: มีจุดเด่นในการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ที่ดี สามารถดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากได้ง่าย
อินฟลูเอนเซอร์ที่คนติดตามไม่สูง: มีความน่าเชื่อถือสูงกว่า และสามารถสร้างการมีส่วนร่วม (เช่น ไลก์ คอมเมนต์ และแชร์) เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดตามได้ดีกว่า โดยมักมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ของจำนวนผู้ติดตาม
เทคนิคการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่ตอบโจทย์กับธุรกิจ
การที่เราจะเลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้ตอบโจทย์กับธุรกิจนั้นเป็นไปได้ยากโดยถ้าหากเรายังไม่เข้าใจจุดประสงค์หรือ องค์ประกอบในการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ เลยก็อาจเป็นการจ้างอินฟลูเอนเซอร์ที่อินฟลูเอนเซอร์คนนั้นไม่สามารถสร้างมูลค่าและยอดขายเพิ่มเติมให้กับแบรนด์นั้นได้เลย
1. กำหนดเป้าหมายของแคมเปญ
กําหนดเป้าหมายของแคมเปญก่อนว่าต้องการโปรโมทแบรนด์ สร้างการรับรู้ หรือต้องการกระตุ้นยอดขายเพิ่มสิ่งนี้จะช่วยให้คุณระบุประเภทของ Influencer ได้เป็นอย่างดี
2. ตรงกลุ่มเป้าหมาย
แบรนด์ต้องคำนึงว่ากลุ่มคนที่ติดตามอินฟลูเอนเซอร์นั้นตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการจะสื่อสารไปหาด้วยหรือไม่ เช่น ถ้าแบรนด์อยากขายสินค้าได้ก็ควรดูว่าฐานผู้ติดตามเหมาะสม มีกำลังซื้อเพียงพอกับสินค้า และบริการหรือไม่ เป็นต้น
แบรนด์สามารถทำการรวบรวมข้อมูลต่อไปนี้ก่อนเลือกอินฟลูเอนเซอร์ เช่น
- ข้อมูลพื้นฐาน: อายุ, เพศ, อาชีพ, การศึกษา, สถานภาพ, รายได้, ภาษา, ที่อยู่อาศัย เป็นต้น
- พฤติกรรม: กิจกรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน, งานอดิเรก, การใช้โซเชียลมีเดีย, การซื้อสินค้าบริการ
- ความต้องการ: ประเภทของสินค้าบริการที่อยากได้, เป้าหมายในชีวิต
- ปัญหา: ปัญหาที่กำลังเกิด หรือเคยเกิดขึ้นแล้วยังไม่ได้รับการแก้ไข
- ความชอบ: คอนเทนต์, เว็บไซต์, สื่อ, อินฟลูเอนเซอร์, อีเวนต์
- ความสนใจ: ประเภทคอนเทนต์, รูปแบบกราฟิก, สไตล์การใช้คำพูด
3. การมีส่วนร่วมของคน
การมีส่วนร่วมของคนกับโพสต์หรือ Engagement คือ การที่คนเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ต่อคอนเทนต์ต่าง ๆ เช่น การกด Like, Reaction, Share, Comment หรือยอด View ใน YouTube เป็นต้น โดยคำนวณได้จาก
ถ้าสามารถคำนวณออกมาได้มากกว่า 10% ก็ถือว่ามีการมีส่วนร่วมที่สูงมาก
4. ความเกี่ยวข้องกับแบรนด์
ไม่ใช่อินฟลูเอนเซอร์ทุกคนที่เหมาะกับแบรนด์ และสินค้าบริการ ถึงแม้ว่าอินฟลูเอนเซอร์ คนนั้นจะมีผู้ติดตามมาก มีคนชื่นชอบมากแค่ไหนก็ตาม
การจ้างงานอินฟลูเอนเซอร์ ที่ไม่เหมาะสมจะทำให้การโปรโมทไปไม่ถึงยังกลุ่มเป้าหมาย หรือต่อให้สามารถโปรโมทไปยังคนจำนวนมาก แต่ไม่ใช่เป้าหมายของสินค้าบริการก็จะไม่ช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างยอดขายตามที่ต้องการอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น อาจทำให้อินฟลูเอนเซอร์ ที่ไม่มีความเข้าใจสินค้าบริการ ไม่เข้าใจเป้าหมายสื่อสารออกไปแบบผิดพลาด ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เสียหายได้เช่นกัน
5. คนที่มีความน่าเชื่อถือ
อินฟลูเอนเซอร์ที่ดีจะต้องมีความน่าเชื่อถือ สามารถสร้างความไว้วางใจให้ลูกค้าได้
แบรนด์ที่จ้างอินฟลูเอนเซอร์ ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ มีทัศนคติที่ไม่ดี บ่นก่นด่าปัญหาที่เข้ามา ไม่ซื่อสัตย์กับผู้ติดตามก็จะทำให้แบรนด์ถูกเหมารวมว่าไม่มีคุณภาพไปด้วยเหมือนกันได้เช่นเดียวกัน
ซึ่งนอกจากความน่าเชื่อถือแล้ว การจ้างงานอินฟลูเอนเซอร์ ที่มีความรับผิดชอบทั้งในการทำงานก็จะทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปได้อย่างราบรื่นด้วย
6. ผลิตคอนเทนต์คุณภาพ
คอนเทนต์คุณภาพ คือคอนเทนต์ที่ทำด้วยความตั้งใจ สามารถสื่อสารจุดประสงค์ และนำไปสู่เป้าหมายที่แบรนด์ต้องการได้ เช่น การขายสินค้าบริการ และยังหมายถึงคอนเทนต์ที่เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ ไม่สร้างความเข้าใจผิด คุกคาม ลามก ชวนเชื่อในเรื่องไม่จริง หรือทำผิดกฎหมาย เป็นต้น
7. ความถี่ในการโพสต์เนื้อหา
ยอดการมีส่วนร่วมกับโพสต์ที่สูงมักเกิดขึ้นในช่วงที่อินฟลูเอนเซอร์มีการเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์อย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้นการพิจารณาถึงความถี่ในการโพสต์เนื้อหาในช่วงเวลาปัจจุบันถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้แบรนด์เห็นว่าอินฟลูเอนเซอร์ ยังคงมีตัวตนบนโลกออนไลน์อยู่สม่ำเสมอหรือไม่
8. ผู้ติดตามที่มีคุณภาพ
อย่าเชื่อยอด Follow, like หรือ Share จากอินฟลูเอนเซอร์ทุกคนบนโซเชียลมีเดีย แบรนด์ควรตรวจดูก่อนด้วยว่าคนที่ติดตามอินฟลูเอนเซอร์ เหล่านั้นมีตัวตนจริงหรือไหม เพราะอาจเป็นบัญชีปลอมที่รับจ้างปั๊มยอดก็เป็นไปได้เช่นกัน
9. ดูประวัติการทํางานของ Influencer
ตรวจสอบการทํางานของ Influencer ในอดีตเพื่อดูว่าพวกเขาเคยทํางานร่วมกับแบรนด์ที่คล้ายกันในอดีตหรือไม่และการทํางานร่วมกันเหล่านั้นมีประสิทธิภาพอย่างไร
10. วัดผลได้จริง
การเลือกอินฟลูเอนเซอร์จะต้องเลือกคนที่อนุญาตให้แบรนด์ได้ทำการวัดผลลัพธ์ของงานออกมาได้จริง แบรนด์จะได้ดูประสิทธิภาพของการทำงาน และรีบแก้ไขปรับปรุงแคมเปญ (ที่เราเรียกกันว่าการ optimize) ให้ผลลัพธ์ออกมาดีมากขึ้นกว่าเดิม
การวัดผลมีหลายแบบขึ้นอยู่กับรูปแบบแคมเปญ เช่น
- Engagements – ยอด Like, Comment, Share ของโพสต์
- Engagement Rate – (ยอดการมีส่วนร่วมในหนึ่งโพสต์ / จำนวนผู้ติดตาม) *100
- Views – ยอดวิวของวิดีโอบน IG/YouTube
- View Rate – (ยอดการดูวิดีโอในหนึ่งโพสต์ / จำนวนผู้ติดตาม) *100
- Post Impressions – จำนวนครั้งที่คอนเทนต์ถูกแสดงให้คนเห็น
- Post Reach – จำนวนของคนที่เห็นคอนเทนต์ โดยไม่นับซ้ำแม้ว่าคนเดียวกันจะเห็นคอนเทนต์เดียวกัน 3 ครั้ง แต่ยอด reach จะถูกนับเป็น 1 ครั้ง
- Clicks – จำนวนคลิกที่คลิกไปยัง URL ที่กำหนด
- Brand Sentiment – ความคิดเห็นของกลุ่มเป้าหมายที่คอมเมนต์ไว้ใต้โพสต์หรือพูดถึงบนโซเชียลมีเดีย
11. แพลตฟอร์มของอินฟลูเอนเซอร์ที่โดดเด่น
สุดท้ายแล้วอินฟลูเอนเซอร์ มักจะมีช่องที่โดดเด่นต่างกันไปบางคนถนัดที่แพลตฟอร์ม Facebook, YouTube บางคน ถนัดที่แพลตฟอร์ม TikTok เป็นต้น และการโปรโมตหลายแพลตฟอร์มโดยอินฟลูเอนเซอร์คนเดียวกันอาจส่งผลให้แคมเปญของคุณไม่ได้ปังอย่างที่คิด ดังนั้นคุณต้องวิเคราะห์ และตรวจสอบแพลตฟอร์มรวมถึงคอนเทนต์ที่อินฟลูเอนเซอร์นั้นทำว่ามีคุณภาพเพียงใด เพื่อเป็นการใช้ Budget อย่างคุ้มค่าที่สุดสำหรับแคมเปญการตลาดของคุณ
Highlight: ตัวอย่าง Brand ที่ใช้ Influencer ในการโปรโมท และเล่นกับเทศกาลสำคัญ
ตัวอย่างช่อง YouTube Coca-Cola Great Britain & Ireland
แนะนำเครื่องมือใช้หา Influencer ที่มีคุณภาพ
สำหรับเครื่องมือใช้หาอินฟลูเอนเซอร์ที่อยากแนะนำให้ลองใช้วันนี้มีชื่อว่า “Mandala Analytics”
เพราะใช้งานง่าย และไม่ใช่แค่การค้นหาอินฟลูเอนเซอร์ท่านั้น แต่ยังสามารถดูข้อมูลบนโซเชียลได้ในหลากหลายเรื่อง เรียกได้ว่าใช้แค่ 1 ตัวก็คุ้มแล้วค่ะ
การใช้งานก็ไม่ยาก เพียงแค่ใส่คำค้นหาลงในระบบเกี่ยวกับเรื่องที่อยากรู้ เช่น
อยากรู้ว่าจะโปรโมทครัวชานมควรจะจ้างใครดี ก็สามารถลองใส่คำว่า “ชานม” เพื่อให้เครื่องมือรวบรวมข้อมูลบนโซเชียลมาให้ แล้วแบรนด์ก็จะได้ข้อมูล:
- ใครหรือเพจไหนทำคอนเทนต์เกี่ยวกับชานมแล้วมียอดการมีส่วนร่วมกับโพสต์สูงแยกตามช่องทางโซเชียลต่าง ๆ
Top channels ในช่องทางต่าง ๆ ที่ทำคอนเทนต์แล้วมียอดการมีส่วนร่วมสูง เช่น Like, Share, Emoji, Comment เพื่อใช้ในการเลือกอินฟลูเอนเซอร์มาโปรโมทชานมหรือติดตามการทำคอนเทนต์ของเพจเหล่านี้
- คอนเทนต์ชานมในช่องทางต่าง ๆ ที่คนให้ความสนใจ
ตัวอย่างคอนเทนต์ของเพจบน Facebook ที่ทำคอนเทนต์แล้วมียอดการมีส่วนร่วมสูงเพื่อใช้เป็นไอเดียในการพัฒนาการทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่สนใจชานมมากยิ่งขึ้น
- ความคิดเห็นของกลุ่มเป้าหมายที่สนใจคอนเทนต์เกี่ยวกับชานม
สัดส่วนความคิดเห็นบวก-ลบเกี่ยวกับชานมที่เกิดขึ้นบน Facebook
ตัวอย่างความคิดเห็นด้านลบเมื่อกดเข้าไปดูจากกราฟของรูปข้างต้น เพื่อศึกษาดูว่าคนมีปัญหา ไม่ชอบอะไรเกี่ยวกับชานม จะได้นำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือปรับปรุงการสื่อสารทางการตลาดให้โดนใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
สุดท้ายนี้ก่อนว่าจ้าง เมื่อนักการตลาดได้กลุ่มเป้าหมายของ Influencer เหล่านั้น ว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีการเผยแพร่ข้อมูลเชิงลึกผ่าน Rate card ทั้ง สถิติผู้เข้าชม กลุ่ม follower ของเพจ อายุ เพศ ของผู้ติดตาม ซึ่งในส่วนนี้สามารถช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ความสนใจจากผู้ติดตามได้อีกระดับนึงผ่านคอนเทนต์ที่ Influencer โพสต์ลงบน social media เพื่อเพิ่มการแม่นยำในการเลือกจ้าง Influencer นั้นได้
อย่าพลาดโอกาสเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกแบบนี้ในแบบที่ง่าย และรวดเร็ว
สมัครทดลองใช้ Mandala Analytics ฟรีถึง 15 วันได้เลยตอนนี้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ plans
บทความอื่น ๆ ที่ไม่ควรพลาด:
Mandala Team
Creator
Category
Share this post
Search the blog
Mandala Newsletter
Sign-up to receive the latest insights in to online trends
Sign Up