การตลาดออนไลน์ กับการโฆษณา โดยเฉพาะการโฆษณากับผู้ให้บริการอย่าง Google Ads ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เหมือนเป็นการกระจายสินค้า เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย และอีกหนึ่งจุดเด่นของการโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์คือ มีต้นทุนต่ำ ไม่ต้องจ้างแรงงาน และไม่ต้องเฝ้าคอยระวังว่าป้ายโฆษณาจะร่วงลงมาวันไหน ไหนจะต้องมาซ่อมแซม หรือเลือกทำเลในการติดป้ายที่เหมาะสม ทำให้เสียค่าใช้จ่ายอีกไม่ใช่น้อย
การตลาดออนไลน์ กับการลงโฆษณา
อย่างไรก็ตาม การโฆษณานั้น ไม่ใช่การหว่านแหไปเรื่อยเปื่อย หากต้องการผลลัพธิ์หรือประสิทธิภาพที่ดี จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ และวัดผล เรากำลังพูดถึงเครื่องมือ ROAS และ ROI สำหรับนักการตลาดออนไลน์มือใหม่อาจจะไม่คุ้นเคยกับทั้งสองคำนี้ โดยในวันนี้เราจะมาแชร์สาระของ ROAS และ ROI ว่ามีความสำคัญต่อการตลาดออนไลน์ อย่างไร
เริ่มต้นกันที่ ROI ย่อมาจาก “Return on investment” หมายถึง ผลตอบแทนจากการลงทุน ในทุกๆ การลงทุน แน่นอนว่านักลงทุนย่อมคาดหวังสิ่งตอบแทน หรือหากจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ ยอดขายที่ได้ หลังจากหักต้นทุนค่าโฆษณา นั่นเอง
สูตรการคำนวณตาม Google Analytic มีดังนี้
(revenue-media cost)/media cost x 100 หรือ (ยอดขายที่เกิดจากโฆษณา-ต้นทุนโฆษณา)/ต้นทุนโฆษณา x 100
ยกตัวอย่างการคำนวณ
สมมติเราลงทุนในการลงโฆษณาจากแคมเปน A ด้วยเงินจำนวน 10,000 บาท ปรากฏว่มีคนเข้ามาซื้อสินค้าของเราจากโฆษณานั้นๆ รายได้รวมเป็นเงิน 20,000 บาท เมื่อแทนค่าตัวเลขลงไปจะได้ ค่า ROI เท่ากับ
- (20,000-10,000)/10,000 x 100 = ROI = 100 %
อย่างไรก็ตามสูตร ROI ที่ธุรกิจใช้กันคือ (revenue-cost of investment) / cost of investment x 100 แต่การคิดแบบนี้เป็นเงื่อนไขของ Google ดังนั้น คุณสามารถนำตัวเลขที่ได้จาก Google Analytics ลองนำมาคำนวนใส่ margin เพื่อหา ROI ที่แท้จริงอีกที เพื่อให้เข้าใจง่ายมากขึ้น
ค่า ROI บอกอะไรกับเรา :
ยิ่ง ROI มีค่าสูงมากเท่าไหร่ หมายถึง ความคุ้มค่าในการลงทุนมีมากขึ้นเท่านั้น อย่างเช่นตัวอย่างที่เราให้ไว้ หมายความว่าแคมเปญ A มีกำไรจากการโฆษณา โดยหักต้นทุนเรียบร้อยอยู่ที่ 100 % หากแคมเปญอื่นๆ สามารถทำมี ROI มากกว่า 100 % ย่อมให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากกว่า นั่นเอง
ในส่วน ROAS ย่อมากจาก “Return on ads spending”
คือ การวัดความคุ้มค่าจากการโฆษณาด้วยการนำเงิน หรือยอดขายที่ได้รับจากการลงโฆษณา มาเปรียบเทียบกับค่าโฆษณาที่ถูกจ่ายออกไป โดย ROAS แตกต่างจาก ROI ตรงที่วิธีการคำนวนจะไม่หักต้นทุนค่าโฆษณาจากยอดขายที่ได้รับ
โดยมีสูตรการคำนวณตาม Google Analytic มีดังนี้
revenue/media cost x 100หรือ ยอดขาย/ต้นทุนโฆษณา x 100
จากตัวอย่างเดิม หากนำมาใส่ในสูตร ROAS จะได้เท่ากับ
- 20,000/10,000 x 100 = ROAS 200 %
อย่างไรก็ตาม สำหรับวัดความคุ้มค่าของแคมเปญ หากใช้ ROAS ในการคำนวณ ตัวเลขที่ได้อาจเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ดูสวยหรูมากเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ROAS คำนวณเพียงแค่รายรับ ไม่ใช่ผลกำไร และคำนวณเพียงแค่ต้นทุนในการโฆษณา แต่ไม่ใช่ต้นทุนทั้งหมด ส่งผลให้ผลลัพธิ์ที่ได้เกิดการบิดเบือน หรือเกินความเป็นจริงนั่นเอง
และจากความคิดเห็นส่วนตัวแล้วมองว่า ROI คือการวัดผลที่มีความแม่นยำ และใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งการใช้ ROI เพื่อวัดผลการโฆษณาบน Social Media นั้น หากต้องการให้ผลลัพธ์ออกมายังมีประสิทธิภาพมากที่สุด มีขั้นตอน ดังต่อไปนี้
-ตั้งเป้าหมายและความคาดหวังให้ชัดเจน
ในแต่ละแคมเปญนั้น ก่อนตัดสินใจโฆษณา ควรตั้งเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวัง และเพื่อเป็นแนวทางในการทำงาน ยกตัวอย่างการตั้งเป้าหมาย เช่น ต้องการให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ต้องการให้ดูวีดีโอที่โพส ต้องการให้ลูกค้าดาวน์โหลดแคตตาล็อค หรือให้ลูกค้ากรอกสมัครข้อมูลเข้ามาเป็นสมาชิก เป็นต้น
-คำนวณราคาต่อหน่วยหรือผลลัพธ์ให้ออกมาในรูปแบบของตัวเงิน
การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์และมองภาพที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น จากการคำนวณสถิติที่ผ่านมา พบว่า ในทุกๆ 10,000 คนที่เห็นโฆษณาของคุณจะมีจำนวน 5,000 คนที่เข้าเว็บไซต์และเกิดการสั่งซื้อสินค้าทั้งหมด 100รายการ เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท หมายความว่าเฉลี่ยคนเข้าเว็บ 5,000 คนจะทำให้คุณมีรายได้จากการขาย 100,000 บาท หรือเท่ากับว่ามูลค่าของคนที่เข้าเว็บไซต์ 1 คนเท่ากับ 20 บาท นั่นเอง
-ประเมินผลตอบแทนที่ได้รับในแต่ละช่องทาง
เพื่อให้การโฆษณาในครั้งต่อไป มีประสิทธิภาพและดีมากยิ่งขึ้น ควรทำการประเมินผลตอบแทนที่ได้รับในแต่ละช่องทางเพราะจะทำให้รู้ว่า Social Media หรือแพลตฟอร์มไหน ให้ผลตอบแทนที่เยอะมากที่สุด ซึ่งคุณจะได้ให้ความสำคัญกับแพลตฟอร์มนั้นๆ มากกว่าแพลตฟอร์มอื่น
-ประเมินค่าใช้จ่ายในแต่ละช่องทาง
นอกจากจะต้องประเมินผลตอบแทนที่ได้รับในแต่ละช่องทางแล้ว คุณจำเป็นที่จะต้องประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละช่องทางด้วย เพื่อให้สามารถแยกต้นทุนค่าใช้จ่าย และนำผลตอบแทนที่ได้รับมาเปรียบเทียบว่าช่องทางไหนมีความคุ้มค่ามากกว่ากัน ส่วนช่องทางไหนที่ขาดทุนครั้งต่อไปก็จะได้ไม่ต้องไปโฟกัสอีก
ค้นหา Customer Insight ด้วย Social listening tools
ในขณะนี้เครื่องมือที่เป็นประโยชน์สามารถช่วยวิเคราะห์, ค้นหาและรวบรวม Customer Insight บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่กำลังได้รับความนิยมได้แก่ Facebook, Instagram, YouTube และ Twitter คือ Social Listening tools และ Social Listening Tools ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันคือ Mandala Analytics ถ้าหากคุณไม่เข้าใจความต้องการหรือพฤติกรรมของลูกค้านักการตลาดก็ไม่สามารถวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้, ไม่สามารถวางแผนการใช้โฆษณาตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจริง ๆ ได้ และการวางแผนที่ผิดพลาดไม่ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคก็จะส่งผลต่อในของเรื่อง ROI ด้วย วันนี้ทีมงานจะมาแนะนำแนวทางการใช้ Social Listening Tools ให้มีประสิทธิภาพและคอยช่วยเหลือให้นักการตลาดเข้าใจ Customer Insight มากขึ้น
แนวทางวิธีการใช้ Social Listening Tools สำหรับนักการตลาด
1.วิเคราะห์ธุรกิจตัวเอง
สำหรับนักการตลาดคุณต้องทราบก่อนว่าธุรกิจของตัวเองนั้นมีจุดอ่อนจุดหรือจุดแข็งในด้านไหนบ้างเพื่อเป็นการกำหนดในการตั้ง Keyword สำหรับศึกษากลุ่มลูกค้าบนโลกออนไลน์ที่คุณต้องการดักฟังหรือเลือกใช้ Keyword ที่คู่แข่งใช้เป็นประจำในการศึกษาและวิเคราะห์คู่แข่งเพื่อหา Pain Point ที่คู่แข่งเรามีและปรับให้เข้ากับแบรนด์ของเราเพื่อสร้างจุดแข็งเพิ่มเติม
ตัวอย่างการตั้ง Keyword สำหรับค้นหาสิ่งที่ต้องการค้นหา
2. กำหนด Marketing Strategy ให้เหมาะสม
การกำหนด Marketing Strategy ในการทำธุรกิตโดยการเลือกช่องทางการโปรโมท Ads เหมาะสมเพื่อประหยัดงบประมาณในการทำแคมเปญและได้ KPI ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเลือกจากช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายที่เราตั้งไว้มีส่วนร่วม (Engagement) กับโพสต์มากที่สุด
ตัวอย่างกราฟเปรียบเทียบช่องทาง Social Media จากการมีส่วนร่วมกับโพสต์ (Engagement) และจำนวนนวนการพูดถึง (Mention)
3. สำรวจช่วงเวลาที่ผู้บริโภคสนใจ
การสำรวจช่วงเวลาที่ผู้บริโภคสนใจนั้นเป็นสิ่งที่นักการตลาดออนไลน์ไม่ควรพลาดเนื่องจากนักการตลาดสามารถที่จะวางกลยุทธ์ดักทางผู้บริโภคได้
ตัวอย่างการแสดงช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับโพสต์คอนเทนต์
4. เลือก Influencer ที่ถูกต้อง
ในปัจจุบันการทำการตลาดนั้นได้มีการใช้ Influencer อย่างหลากหลายเพื่อเป็นการโปรโมทสินค้าหรือโปรดักส์แต่การจ้าง Influencer นั้นมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงดังนั้นการที่จะเลือกจ้าง Influencer นั้นมีความจำเป็นอย่างมากในการเลือก Influencer ที่ใช่เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในการทำแคมเปญและมี KPI สูง โปรโมทสินค้าตรงตามกลุ่มลูกค้าที่ตั้งเป้าไว้ ดังนั้นเครื่องมือ Mandala Analytics คือเครื่องมือที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพให้ข้อมูลที่แม่นยำในการวางกลยุทธ์ทางการตลาดในราคาที่คุ้มค่า
ทั้งหมดนี้ก็คือ เรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการวิเคราะห์ Ads ในแง่มุมของ ROI และ ROAS ซึ่งเป็นการวัดผลจากการโฆษณา โดยเป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ในรูปแบบหนึ่ง เพื่อให้คุณได้มีความรู้และมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น การตลาดออนไลน์ผ่านการโฆษณานั้นไม่ใช่เพียงแค่การหว่านแหออกไปเรื่อยๆ โดยจับต้นชนปลายไม่ถูก แม้ว่าคุณจะไม่ต้องมานั่งคำนวณเองก็ตาม เพราะทั้งหมดอยู่ในรูปแบบของโปรแกรมสำเร็จรูป แต่คุณก็จำเป็นที่ต้องรู้ Concept หรือแนวคิดเพื่อให้สามารถวิเคราะห์กลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเองถ้าหากคุณไม่อยากที่จะพลาดโอกาสที่จะศึกษาข้อมูลที่คุณสงสัยหรือต้องการพัฒนาเเบรนด์ของคุณ สามารถทดลองใช้งานฟรี ได้ที่ Free Trial 7 day
Mandala Team
Creator
Category
Share this post
Search the blog
Mandala Newsletter
Sign-up to receive the latest insights in to online trends
Sign Up