Facebook เป็นสังคมโซเชียลที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก ไม่เพียงแต่เฉพาะกลุ่มวัยรุ่นหรือกลุ่มวัยทำงานทั่วไปเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงกลุ่มของผู้สูงอายุหลายๆ คนก็เลือกที่จะหันมาใช้งาน platform อย่าง Facebook กันมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมันทำให้พวกเขาได้ติดต่อสื่อสารกับลูกหลานที่อยู่ห่างไกล และทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้ว Facebook ยังเป็นแหล่งที่ไว้อัพเดทข่าวสารได้อย่าง Realtime ทำให้เราได้อัพเดทข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ ทำให้ไม่ตกเทรนทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้ผู้ประกอบการหลายคนต้องหันมาทำการตลาดออนไลน์บนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook กันมากยิ่งขึ้น และการโฆษณาบน Facebook ก็เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่ง ที่ใช้ในการช่วยกระตุ้นยอดขาย ทำให้สินค้าสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
Digital Marketing ศัพท์ที่ต้องรู้จักในการลงโฆษณา Facebook
การทำโฆษณาบนเฟสบุ๊ค หรือการยิงแอด (Facebook Ads) เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของนักการตลาดออนไลน์ ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ง่ายๆ คุณสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ถ้าอยากทำโฆษณาบน Facebook ทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาบน Facebook เสียก่อน เพื่อให้ได้เข้าใจความหมายและนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง เมื่อได้เรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับ Facebook Ads แล้ว เชื่อว่าจะสามารถนำตัวเลขเหล่านั้นมาวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นั่นเอง
เราเรียกมันว่า Technical Term ของ Facebook Ads และมีคำศัพท์พื้นฐานที่ควรรู้ ดังต่อไปนี้
Reach (จำนวนคนที่เห็นโฆษณา)
การที่โฆษณาของเราไปปรากฏอยู่หน้าใครสักคนที่ใช้งาน Facebook จะถูกนับเป็น 1 Reach ไม่ว่าคนคนนั้นจะเห็นโฆษณาเราอีก 10 ครั้งหรือ 100 ครั้ง ก็ตาม จะถูกนับเป็น 1 Reach เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า Reach ก็คือรายบุคคลที่เห็นโฆษณาของเรานั่นเอง อย่างไรก็ตาม Reach ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
- Paid Reach หมายถึง จำนวนบุคคลที่เห็นโฆษณาของเรา ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลูกค้าในกลุ่มเป้าหมาย (Target) ที่ตัวผู้ทำโฆษณานั้นได้มีการกำหนดไว้แล้ว
- Organic Reach หมายถึง จำนวนบุคคลที่เห็นโฆษณาของเรา จากการติดตามเพจ โดยไม่ได้เกิดจากการใช้เงินเพื่อทำโฆษณานั้นๆ หรืออาจเห็นโฆษณาของเราได้จากการแชร์ของเพื่อนคนอื่นๆ
Engagement (การมีส่วนร่วม หรือการมีปฏิสัมพันธ์)
หมายถึง จำนวนคนที่ใช้งาน Facebook ที่มีส่วนร่วมกับโฆษณาของเรา เช่นการ Comment Like Share หรือการ click ต่างๆ ทั้งหมดนี้จะถูกนับรวมเป็นตัวเลขของ Engagement
Clicks (จำนวนการคลิกโฆษณา)
หากจำนวนการคลิกโฆษณาของเรามีสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลดีมากเท่านั้นเพราะการที่มีคนเข้ามาคลิกโฆษณาของเรานั่นหมายความว่าโฆษณาของเรานั้นเป็นที่น่าสนใจหรือสามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ดี ทำให้เข้ามากดคลิกไม่ใช่เลื่อนผ่านไปเฉยๆ ถ้าแบบนั้นจะถูกนับเป็นแค่จำนวน Reach โดยจำนวนการคลิกที่ว่านี้จะถูกนับก็ต่อเมื่อ เช่น การคลิกลิงค์ที่แนบมากับเเคปชั่น การคลิก Like ,comment ,Share การคลิก Read more และการคลิกรูปดูรูปภาพ เป็นต้น
Impression (จำนวนครั้งที่คนมองเห็นโฆษณา)
หมายถึง จำนวนครั้งที่มีคนเห็นโฆษณาของเรา ยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายๆ เช่น นาย ก เห็นโฆษณาของเรา 10 ครั้ง Impression ก็จะเท่ากับ 10 ครั้ง ซึ่งจะแตกต่างกับการนับแบบ Reach เพราะ Reach จะนับเป็นตัวบุคคล เช่น นาย ก เห็นโฆษณาของเรา 10 ครั้ง Reach ก็จะถูกนับเพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น
CTR (ผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็น ถึงประสิทธิภาพของการโฆษณา)
CTR หมายถึง Click Through Rate เป็นการนำเอา Total Clicks มาหารกับจำนวนตัวเลขของ Total Impression โดยค่าที่ได้ออกมานั้นจะแสดงถึงผลลัพธ์ของประสิทธิภาพในการโฆษณายิ่งค่า CTR มีค่าเยอะหรือค่าสูงมากเท่าไหร่ ก็จะแสดงให้เห็นว่าการยิงโฆษณาของเรามีประสิทธิภาพหรือสามารถที่จะจูงใจให้คนเข้ามา Like, comment, Share หรือมีส่วนร่วมต่างๆ ได้มากขึ้นกล่าวคือ เราสามารถวัด Engagement ได้จากค่าของ CTR
สูตร
Total Clicks / Total Impression = Click Through Rate
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนาย ก ทำโฆษณาบน Facebook แล้วปรากฏว่ามีค่า Total Clicks เท่ากับ 5,000 และ Total Impression เท่ากับ 10,000 เมื่อแทนค่าลงไปในสูตรจะได้
5,000 /10,000 = 0.5 (50 %)
หมายความว่า มีคนที่เข้ามาคลิก 50 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนโฆษณาทั้งหมดที่แสดง
Frequency (ค่าเฉลี่ยของจำนวนคนที่เห็นโฆษณานั้นๆ)
Frequency หาได้จากการนำ Impressions มาหารด้วย Reach ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็คือค่าเฉลี่ยของคนที่เห็นโฆษณาชิ้นนั้นๆ โดยส่วนมากแล้ว Impressions จะมีจำนวนมากกว่า Reach
สูตร
Impression / Reach = Frequency
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนาย ก ทำโฆษณาบน Facebook แล้วปรากฏว่ามีค่า Reach เท่ากับ 5,000 และ Impression เท่ากับ 10,000 เมื่อแทนค่าลงไปในสูตรจะได้
10,000 /5,000 = 2
หมายความว่า คนหนึ่งคนเห็นโฆษณาของเราเฉลี่ย 2 ครั้ง/คน
Result Rate (ต้นทุนต่อผลลัพธ์)
Result Rate หมายถึง ต้นทุนของคนที่เข้ามามีส่วนร่วมบนโฆษณาของเรา โดยใช้สูตรในการคำนวณ คือ
Cost (งบประมาณ) / Engagement (จำนวนการมีส่วนร่วมกับโพสต์) = Result Rate (ต้นทุนต่อผลลัพธ์)
ยกตัวอย่างเช่น หากนาย ก ใช้งบประมาณในการโฆษณา จำนวนเงิน 500 บาท โดยมีจำนวน Engagement (Like , Comment , Share , View (VDO) ทั้งหมด 1,000 เมื่อนำมาแทนค่าลงไปในสูตรจะได้
500 / 1,000 = 0.5o
ค่านี้บ่งบอกว่า ทุนผลลัพธ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มีค่าเท่ากับ 0.50 มีหน่วยเป็นสตางค์ ข้อแนะนำคือในทางการใช้งานจริง ต้องไม่พยายามให้ต้นทุนต่อผลลัพธ์นั้นเกินค่า 0.50 หรือมากกว่าค่านี้เพราะยิ่งต้นทุนผลลัพธ์น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อตัวผู้ทำโฆษณาเอง
ทั้งหมดนี้ ก็คือ คำศัพท์ที่ต้องรู้ในการทำโฆษณา Facebook Ads เป็นความรู้พื้นฐานในการวางแผนกลยุทธ์ด้านการตลาดผ่านการโฆษณาบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook เพื่อให้การโฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพ และคุณสามารถนำตัวเลขเหล่านั้นมาแก้ไขปรับปรุง หากได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจเท่าที่ควร
Mandala Team
Creator
Category
Share this post
Search the blog
Mandala Newsletter
Sign-up to receive the latest insights in to online trends
Sign Up